ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ DCF ในการประเมินมูลค่าหุ้น

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้วิธี DCF (Discounted Cash Flow)

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ DCF ในการประเมินมูลค่าหุ้น

การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow) ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังของนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากเน้นการวิเคราะห์กระแสเงินสดที่แท้จริงของกิจการ แต่ด้วยความที่ DCF อิงจากสมมติฐานหลายประการ เช่น อัตราการเติบโต กระแสเงินสด และอัตราคิดลด การใช้วิธีนี้โดยไม่ระวังจึงเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาด และส่งผลให้ประเมินมูลค่าหุ้นต่ำเกินไปหรือสูงเกินจริงได้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ DCF พร้อมตัวอย่างจากบริษัทในตลาดหุ้น และแนวทางในการแก้ไขเพื่อให้คุณสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างแม่นยำและมั่นใจยิ่งขึ้น

ทำไม DCF ถึงสำคัญแต่ก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง

Discounted Cash Flow (DCF) คือเครื่องมือวิเคราะห์มูลค่าหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน เพราะช่วยให้เรารู้ว่า “ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น” คือเท่าไหร่ บนพื้นฐานของกระแสเงินสดในอนาคต แต่ปัญหาก็คือ DCF ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับ "สมมติฐาน" และ "การคาดการณ์อนาคต" ซึ่งหากทำผิดแค่เล็กน้อย อาจทำให้ประเมินมูลค่าผิดพลาดหลายสิบเปอร์เซ็นต์ได้เลย สำหรับข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ DCF ในการประเมินมูลค่าหุ้น มีดังนี้

1. การประมาณการกระแสเงินสด (Free Cash Flow - FCF) ไม่สมเหตุสมผล

กระแสเงินสดอิสระ (FCF) คือหัวใจของ DCF หากสมมติฐานไม่สมจริง การคำนวณทั้งหมดจะผิดเพี้ยน เช่น

  • ใช้อัตราการเติบโตที่สูงเกินไป เช่น คาดว่ารายได้จะโต 10-15% ต่อปี ตลอด 10 ปี
  • มองข้ามต้นทุนหรือ CAPEX ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ
  • ละเลยต้นทุนวัตถุดิบหรือค่าขนส่งที่ผันผวน
  • ไม่เผื่อความเสี่ยงจากการแข่งขัน

    ตัวอย่าง

    บริษัท A ในตลาด mai รายงานรายได้เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปีในอดีต แต่ผู้วิเคราะห์ใส่สมมติฐานเติบโต 20% ต่อปีตลอด 10 ปี ทำให้ FCF สูงผิดปกติ

    แนวทางแก้ไข
  • ใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5-10 ปี (Historical average)
  • ประมาณการแบบ Conservative
  • รวม Best-case, Base-case และ Worst-case เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์

    2. ใช้ WACC ไม่ถูกต้อง

    WACC (Weighted Average Cost of Capital) เป็นอัตราคิดลดที่ใช้ในการนำ FCF กลับมา ณ ปัจจุบัน หากใส่ผิดจะส่งผลให้การคำนวณคลาดเคลื่อน

    สูตร WACC

    WACC = (E/V) * Re + (D/V) * Rd * (1 – Tc)

  • E = ส่วนทุน
  • D = หนี้สิน
  • Re = ต้นทุนเงินทุน
  • Rd = ดอกเบี้ยจ่าย
  • Tc = อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • V = E + D
  • ข้อผิดพลาดทั่วไป

  • ใช้เบต้าจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ไม่อัปเดตโครงสร้างทุนของบริษัท
  • ตัวอย่าง

    บริษัท B ใน SET มีหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีล่าสุด แต่ยังคงใช้โครงสร้างทุนเดิมในการคำนวณ WACC ทำให้ส่วนทุนต่ำกว่าความจริง

    แนวทางแก้ไข
  • ใช้ข้อมูลส่วนทุนล่าสุดจากงบการเงิน
  • คำนวณ WACC จากข้อมูลงบการเงินล่าสุด
  • ใช้เบต้าจากอุตสาหกรรมเดียวกันหรือปรับแบบ Unlevered/Levered
  • Re = Rf + β(Rm - Rf) (CAPM Model)
  • 3. Terminal Value สูงเกินจริง

    Terminal Value มักมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของมูลค่าที่ได้จาก DCF

    สูตร Terminal Value (Gordon Growth Model)

    TV = (FCF x (1 + g)) / (r - g)

  • หากใส่ g (อัตราการเติบโต) ที่เกิน 3-4% จะทำให้ TV สูงเกินไป
  • g = อัตราการเติบโตตลอดกาล (Terminal growth)
  • r = WACC หรืออัตราคิดลด
  • ข้อผิดพลาด

  • กำหนด g > 5% ทั้งที่เศรษฐกิจโตเฉลี่ย 3%
  • ใช้ค่า g เหมือนกันในทุกธุรกิจ
  • ตัวอย่าง

    บริษัทค้าปลีก C กิจการเติบโต แต่มีขีดจำกัดจากโครงสร้างเศรษฐกิจ หากใช้ g = 6% อาจสูงเกินไปเมื่อเทียบกับ GDP ไทย

    แนวทางแก้ไข
  • กำหนด g ต่ำกว่าอัตรา GDP เฉลี่ยของประเทศ เช่น 2-3%
  • เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ใช้ Exit Multiple แทนก็ได้ เช่น EV/EBITDA x ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
  • 4. ไม่ทำ Sensitivity Analysis

    DCF มีความอ่อนไหวต่อค่าที่ใส่มาก การเปลี่ยน WACC หรือ growth เพียง 0.5% อาจทำให้มูลค่าหุ้นเปลี่ยนหลายสิบเปอร์เซ็นต์

    WACC / g 1% 2% 3%
    7% 70 85 100
    8% 50 60 70
    9% 40 48 56

    ตัวอย่าง

    บริษัท D คำนวณมูลค่าได้ 60 บาท แต่เมื่อปรับ WACC ขึ้น 1% เหลือเพียง 48 บาท ถ้าบริษัทหนึ่งมี WACC = 8% แล้วเราลองเปลี่ยน Terminal Growth (g) เป็น 1%, 2%, 3% มูลค่าที่ได้จาก DCF จะเปลี่ยนจาก 50 → 60 → 70 บาท/หุ้น ยิ่งเราคาดว่า “บริษัทโตได้ยาวๆ” (g สูง) → มูลค่าหุ้นยิ่งสูง แต่ถ้าใช้ WACC สูง → มูลค่าก็จะลดลง

    5. ละเลยคุณภาพของกิจการ (Qualitative Factor)

    DCF อาจไม่สามารถวัดจุดแข็งเชิงคุณภาพ เช่น brand, network effect, หรือความได้เปรียบด้านต้นทุนได้อย่างชัดเจน

    ตัวอย่าง

    บริษัท E มี DCF undervalued แต่ไม่มีแบรนด์ ไม่มี barrier to entry สุดท้ายราคาหุ้นก็ไม่วิ่งตามมูลค่า

    แนวทางแก้ไข
  • วิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพควบคู่ DCF เช่น Moat, ROIC, ความได้เปรียบทางด้านต้นทุนและขนาดของกิจการ
  • 6. ใส่ Bias ส่วนตัวลงในสมมติฐาน

    นักลงทุนมักอยากให้หุ้นที่ชอบดู undervalued จึงปรับ growth ให้สูง หรือลด WACC โดยไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน พอชอบหุ้นมากก็ปรับ input ให้ดูดี

  • ใช้ growth สูง
  • ใช้ WACC ต่ำ
  • ขยายปี DCF นานเกินจริง
  • แนวทางแก้ไข
  • ให้คนอื่นตรวจทานโมเดล DCF
  • อิงข้อมูลจากภายนอก เช่น consensus ของนักวิเคราะห์
  • 7. ใช้ DCF กับธุรกิจที่ไม่เหมาะสม

    บางธุรกิจ FCF ผันผวนสูง เช่น

  • ธุรกิจ Startup
  • ธุรกิจวัฏจักร เช่น เหล็ก น้ำมัน
  • ธุรกิจ turnaround
  • ตัวอย่าง

    บริษัท F มี FCF ลบมา 3 ปี พอใช้ DCF ก็ได้มูลค่าติดลบ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุน

    แนวทางแก้ไข
  • ใช้วิธีคำนวณอื่นๆ มาใช้ร่วมกัน เช่น การคำนวณโดยวิธี P/E, EV/EBITDA, และ SOTP (Sum-of-the-parts)
  • 8. ไม่อัปเดตข้อมูลสมมติฐานตามสถานการณ์ล่าสุด

    เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น

  • ดอกเบี้ยขาขึ้น
  • อัตราภาษีมีการเปลี่ยนแปลง
  • มีคู่แข่งใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม
  • แนวทางแก้ไข
  • ทบทวน DCF ทุกไตรมาส หรือเมื่อมีข่าวสารที่ส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานกิจการ
  • 9. มอง DCF เป็นคำตอบสุดท้าย

    DCF คือ "แบบจำลอง" ไม่ใช่ความเป็นจริง ควรใช้เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ ไม่ใช่ทั้งหมด

    แนวทางแก้ไข
  • ใช้ DCF ควบคู่กับวิธีเปรียบเทียบ เช่น P/E, EV/EBITDA
  • วิเคราะห์เชิงคุณภาพ เช่น จริยธรรมของผู้บริหาร และเป็นธุรกิจยั่งยืนหรือไม่
  • สรุป

    การใช้ DCF อย่างแม่นยำต้องอาศัยความเข้าใจกิจการอย่างลึกซึ้ง การตั้งสมมติฐานอย่างมีเหตุผล และความรอบคอบในการวิเคราะห์ นักลงทุนที่สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ จะได้เปรียบในการหาหุ้นดีราคาถูกและลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ผิดพลาด และนั่นก็คือเหตุผลที่เราควรมี "ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย" หรือ Margin of safety