DCF (Discounted Cash Flow) คือ หนึ่งในวิธีคำนวณที่ได้รับการยอมรับและมีหลักวิชาการรองรับสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานหรือนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor)
สารบัญ
- แนวคิดพื้นฐานของ DCF
- ตัวแปรหลักในสูตร DCF
- วิธีสร้าง DCF Model ด้วย Excel
- วิธีเลือก Discount Rate อย่างละเอียด
- Sensitivity Analysis และ Monte Carlo Simulation
- กรณีศึกษา: DCF ของ Apple และ Tesla
- ศัพท์เฉพาะ DCF และคำแปล
- Checklist สำหรับนักลงทุน
DCF Concept Overview
Discounted Cash Flow (DCF) is a valuation method used to estimate the value of an investment based on its expected future cash flows. The core idea is simple: money today is worth more than money tomorrow.
📌 Core Principles
- Time Value of Money: Cash in the future must be discounted back to its present value.
- Forecasting: Predict future free cash flows (FCF) over a period (typically 5-10 years).
- Discount Rate: Use an appropriate rate to reflect risk and opportunity cost (e.g., WACC).
- Terminal Value: Estimate the value beyond the projection period using terminal growth.
📈 Why Use DCF?
- Provides intrinsic valuation, not based on market sentiment
- Helpful in long-term investment decisions
- Used by analysts, investors, and CFOs for budgeting and M&A
"DCF tells you what a company is truly worth – not just what people are willing to pay for it today."
แนวคิดพื้นฐานของ DCF
การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow) เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดานักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานทั่วโลก โดยมีหลักการสำคัญว่า “มูลค่าของสินทรัพย์ในวันนี้ คือมูลค่าของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตทั้งหมด หักกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value)” ผ่านการใช้ส่วนลดหรือ Discount Rate ที่เหมาะสม
1. หลักการ Time Value of Money
หัวใจหลักของ DCF คือแนวคิด Time Value of Money หรือ “มูลค่าของเงินในวันนี้มีค่ามากกว่ามูลค่าเดียวกันในอนาคต” เนื่องจากเงินในวันนี้สามารถนำไปลงทุนต่อหรือสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต ตัวอย่างเช่น เงิน 1,000 บาทในวันนี้ หากสามารถลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี อีกหนึ่งปีจะมีมูลค่าเท่ากับ 1,100 บาท
2. สูตรพื้นฐานของ DCF
การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF จะคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดอิสระในอนาคต (Free Cash Flow หรือ FCF) ดังนี้:
DCF = FCF₁ / (1+r)¹ + FCF₂ / (1+r)² + ... + FCFn / (1+r)ⁿ + TV / (1+r)ⁿ
- FCFn = กระแสเงินสดอิสระในปีที่ n
- r = Discount Rate คือ อัตราคิดลด หรือผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง
- n = จำนวนปีที่เราทำประมาณการ
- TV = Terminal Value คือ มูลค่าของกิจการหลังจากปีสุดท้ายที่เราประมาณการ FCF (มักใช้สูตร Gordon Growth Model)
สำหรับสูตรคำนวณ DCF สูตรนี้
DCF = CF₁ / (1+r)¹ + CF₂ / (1+r)² + ... + CFn / (1+r)ⁿ
ใช้ในกรณีที่เราประเมินเฉพาะกระแสเงินสดระยะสั้น เช่น
- การประเมินมูลค่าของโครงการ (Project-based)
- การวิเคราะห์กระแสเงินสดแบบจำกัดอายุ (เช่น พันธบัตร, โครงการลงทุน 3 ปี)
- การวิเคราะห์ที่ไม่ต้องการประเมินมูลค่าต่อเนื่องในอนาคต
การใช้ DCF จำเป็นต้องมีการคาดการณ์ FCF ในอนาคตอย่างแม่นยำ พร้อมทั้งเลือกอัตราส่วนลด (Discount Rate) ที่สะท้อนความเสี่ยงที่เหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ
3. ประเภทของ Free Cash Flow (FCF)
- FCFF (Free Cash Flow to Firm) = กระแสเงินสดที่บริษัทสร้างก่อนชำระหนี้
- FCFE (Free Cash Flow to Equity) = กระแสเงินสดที่เหลือสำหรับผู้ถือหุ้นหลังชำระหนี้
การเลือกใช้ FCFF หรือ FCFE จะส่งผลต่อสูตรและ Discount Rate ที่ใช้ในการคำนวณ เช่น FCFF ใช้ WACC เป็นส่วนลด ส่วน FCFE ใช้ Cost of Equity
4. ข้อดีของการใช้ DCF
- เป็นการประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานจริงของกิจการ
- สามารถใช้กับกิจการที่ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
- เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว
- สามารถปรับเปลี่ยนสมมติฐานได้ตามความเข้าใจธุรกิจ
แม้ DCF จะมีจุดแข็งด้านความแม่นยำทางหลักการ แต่ก็มีความไวต่อสมมติฐานต่าง ๆ เช่น การเติบโตของรายได้ อัตรากำไร และ Discount Rate หากสมมติฐานผิดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลอย่างมากต่อมูลค่าที่ได้
Key Variables in DCF Formula
The DCF formula is:
DCF = FCF₁ / (1+r)¹ + FCF₂ / (1+r)² + ... + FCFₙ / (1+r)ⁿ + TV / (1+r)ⁿ
🔹 Main Components
- FCF (Free Cash Flow): The expected future cash the company can generate after expenses and reinvestment
- r (Discount Rate): Reflects the risk of investment (usually WACC)
- n (Number of Years): Forecast period, typically 5-10 years
- TV (Terminal Value): Value of business beyond forecast period
📌 Supporting Inputs
- Revenue Growth Rate
- EBIT or EBITDA Margins
- CapEx and Depreciation
- Changes in Working Capital
- Tax Rate
ตัวแปรหลักในสูตร DCF
การวิเคราะห์มูลค่าด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) ต้องอาศัยการคาดการณ์ตัวแปรสำคัญหลายตัว ซึ่งล้วนมีผลโดยตรงต่อมูลค่าที่ได้จากโมเดล หากเข้าใจแต่ละตัวแปรอย่างลึกซึ้ง นักลงทุนจะสามารถประเมินความแม่นยำของผลลัพธ์ และทดสอบความไวของสมมติฐานได้ดีขึ้น
1. Free Cash Flow (FCF)
Free Cash Flow คือกระแสเงินสดที่เหลือจากการดำเนินธุรกิจหลัก หลังหักค่าใช้จ่าย และการลงทุนที่จำเป็น เพื่อใช้จ่ายหนี้หรือคืนให้กับผู้ถือหุ้น โดยแบ่งเป็น:
- FCFF (Free Cash Flow to Firm): กระแสเงินสดสำหรับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นทั้งหมด
- FCFE (Free Cash Flow to Equity): กระแสเงินสดสำหรับผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะ
สูตรพื้นฐานของ FCFF:
FCFF = EBIT × (1 - Tax Rate) + Depreciation - CapEx - Working Capital
2. จำนวนปีในการคาดการณ์ (Projection Period)
โดยทั่วไปใช้ 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ และความสามารถในการคาดการณ์อย่างมีเหตุผล ยิ่งธุรกิจมีความมั่นคง ยิ่งสามารถคาดการณ์ได้ไกล
3. Terminal Value (TV)
Terminal Value คือมูลค่าที่ประเมินหลังจากสิ้นสุดช่วงคาดการณ์ โดยใช้วิธี:
- Perpetuity Growth Model: ใช้สมมติฐานว่าบริษัทเติบโตตลอดไปที่อัตรา g
- Exit Multiple Method: ใช้ค่า EV/EBITDA หรือ P/E ของปีสุดท้ายเป็นตัวหาร
สูตร Perpetuity:
TV = FCFn+1 / (r - g)
4. Discount Rate (r)
อัตราส่วนลด คืออัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ (Required Rate of Return) ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงของธุรกิจ หากใช้ FCFF จะใช้ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หากใช้ FCFE จะใช้ Cost of Equity
5. อัตราการเติบโต (Growth Rate)
- Short-term Growth: คาดการณ์การเติบโตในช่วง 5-10 ปีแรก
- Terminal Growth (g): อัตราเติบโตถาวรหลังจากช่วงคาดการณ์ ซึ่งไม่ควรสูงกว่า GDP ระยะยาว (~2-3%)
กราฟตัวอย่าง
6. Working Capital
การเปลี่ยนแปลงของ Working Capital (สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน) มีผลต่อ FCF เช่น การเพิ่มสินค้าคงคลัง หรือเพิ่มลูกหนี้การค้า
7. Capital Expenditures (CapEx)
คือเงินลงทุนเพื่อรักษาหรือขยายกำลังการผลิต หากธุรกิจเติบโต CapEx มักสูงขึ้น ส่งผลให้ FCF ต่ำลง
8. Depreciation & Amortization
แม้จะไม่ใช่กระแสเงินสดจริง แต่ส่งผลให้ภาษีน้อยลง ทำให้ FCF สูงขึ้น
9. อัตราภาษี (Tax Rate)
ใช้เพื่อคำนวณกระแสเงินสดหลังหักภาษี โดยพิจารณาจากอัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัท
10. จำนวนหุ้น (สำหรับ FCFE)
หากต้องการคำนวณมูลค่าต่อหุ้น (Intrinsic Value per Share) ต้องหารมูลค่า FCFE ด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด
เมื่อเข้าใจตัวแปรทั้งหมดนี้ นักลงทุนสามารถสร้างแบบจำลอง DCF ที่แม่นยำและยืดหยุ่นมากขึ้น ต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึกในหัวข้อถัดไป
How to Build a DCF Model in Excel
- Step 1: Forecast Revenue, EBIT, Depreciation, CapEx, and Working Capital for 5–10 years
- Step 2: Calculate Free Cash Flow (FCF) using:
FCF = EBIT × (1 - Tax Rate) + Depreciation - CapEx - ΔWorking Capital
- Step 3: Determine Discount Rate (WACC)
- Step 4: Compute Present Value (PV) of each year’s FCF using:
PV = FCF / (1 + r)^n
- Step 5: Estimate Terminal Value using:
TV = FCFn+1 / (r - g)
- Step 6: Discount TV to present value
- Step 7: Sum all PVs of FCF and TV = Enterprise Value
- Step 8: Subtract Net Debt to get Equity Value
- Step 9: Divide by shares outstanding to get Fair Value per Share
วิธีสร้าง DCF Model ด้วย Excel
การสร้างโมเดล DCF ด้วย Excel เป็นวิธีที่นักวิเคราะห์การเงินและนักลงทุน VI นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้ความยืดหยุ่นสูง เข้าใจง่าย และสามารถปรับสมมติฐานได้ตามสถานการณ์ โดยทั่วไปจะใช้วิธี FCFF (Free Cash Flow to Firm) ซึ่งเหมาะกับการวิเคราะห์ทั้งบริษัท
โครงสร้างของ Excel DCF Model
โมเดลจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก:
- ข้อมูลเบื้องต้นของบริษัท (เช่น รายได้ กำไรสุทธิ CapEx ฯลฯ)
- การคาดการณ์ Free Cash Flow ในช่วง 5-10 ปี
- การคำนวณ Terminal Value
- การ Discount FCF และ Terminal Value กลับมาที่ปัจจุบัน
- การคำนวณมูลค่ารวม และมูลค่าต่อหุ้น
ตัวอย่าง Model (พื้นฐาน)
รายการ | ปี 1 | ปี 2 | ปี 3 | ปี 4 | ปี 5 |
---|---|---|---|---|---|
Revenue | 10,000 | 11,000 | 12,100 | 13,310 | 14,641 |
Operating Profit (EBIT) | 2,000 | 2,200 | 2,420 | 2,662 | 2,928 |
Tax (20%) | (400) | (440) | (484) | (532) | (586) |
+ Depreciation | 300 | 320 | 350 | 380 | 400 |
- CapEx | (500) | (550) | (600) | (650) | (700) |
- ΔWorking Capital | (100) | (100) | (100) | (100) | (100) |
FCF | 1,300 | 1,430 | 1,586 | 1,760 | 1,942 |
คำนวณ Terminal Value (TV)
สมมติ Terminal Growth = 3%, WACC = 10%
TV = FCF ปีสุดท้าย × (1 + g) / (WACC - g)
= 1,942 × 1.03 / (0.10 - 0.03)
= 2,000 / 0.07 ≈ 28,571
Discount FCF และ TV กลับมาปัจจุบัน
ใช้สูตร PV = FV / (1 + r)n โดย r = WACC = 10%
- ปี 1: 1,300 / (1.10)1 = 1,182
- ปี 2: 1,430 / (1.10)2 = 1,180
- ปี 3: 1,586 / (1.10)3 = 1,192
- ปี 4: 1,760 / (1.10)4 = 1,200
- ปี 5: 1,942 / (1.10)5 = 1,205
- TV: 28,571 / (1.10)5 ≈ 17,747
รวมมูลค่า
รวม NPV ของ FCF และ TV:
NPV_FCF = 1,182 + 1,180 + 1,192 + 1,200 + 1,205 = 5,959
NPV_TV = 17,747
Total Firm Value ≈ 23,706 ล้านบาท
คำนวณมูลค่าต่อหุ้น
- หักหนี้สิน = 5,000 ล้านบาท
- เพิ่มเงินสด = 2,000 ล้านบาท
- จำนวนหุ้น = 1,000 ล้านหุ้น
Intrinsic Value per Share = (23,706 - 5,000 + 2,000) / 1,000 = 20.7 บาท/หุ้น
การสร้างโมเดล DCF บน Excel เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์มูลค่าธุรกิจ นักลงทุนสามารถปรับสมมติฐานต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่น อัตราการเติบโต อัตราดอกเบี้ย หรือ CapEx เพื่อทำการวิเคราะห์ความไว (Sensitivity Analysis) ต่อไปได้
วิธีเลือก Discount Rate อย่างละเอียด
Discount Rate หรืออัตราคิดลด เป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในโมเดล DCF เพราะใช้ในการเปลี่ยนมูลค่าเงินในอนาคตให้มาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน หากเลือกผิดเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลให้ราคาหุ้นที่ได้ต่างจากความจริงไปมาก
1. ความหมายของ Discount Rate
ในบริบทของ DCF เราใช้ Discount Rate เพื่อสะท้อน:
- ความเสี่ยงของกระแสเงินสดในอนาคต
- โอกาสทางเลือก (Opportunity Cost) ของเงินทุน
- อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ (Required Rate of Return)
2. ประเภทของ Discount Rate
- WACC (Weighted Average Cost of Capital): ใช้กับ Free Cash Flow to Firm (FCFF)
- Cost of Equity: ใช้กับ Free Cash Flow to Equity (FCFE)
3. สูตรคำนวณ WACC
WACC = (E/V × Re) + (D/V × Rd × (1 - Tc))
- E: ส่วนทุน (Equity)
- D: หนี้สิน (Debt)
- V: E + D
- Re: Cost of Equity
- Rd: Cost of Debt
- Tc: อัตราภาษีของบริษัท
4. วิธีคำนวณ Cost of Equity (Re)
นิยมใช้ CAPM (Capital Asset Pricing Model)
Re = Rf + β × (Rm - Rf)
- Rf: อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (เช่น พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี)
- β: เบต้า สะท้อนความผันผวนของหุ้นเทียบกับตลาด
- Rm: ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด (เช่น SET Index หรือ S&P500)
ตัวอย่างการคำนวณ Cost of Equity
- Rf = 2%
- β = 1.2
- Rm = 10%
Re = 2% + 1.2 × (10% - 2%) = 11.6%
5. Build-Up Method (กรณีไม่มีข้อมูลเบต้า)
เหมาะกับธุรกิจ SME หรือ Private Company ที่ไม่มีเบต้าในตลาด
Required Return = Rf + Equity Risk Premium + Size Premium + Company-specific Premium
ตัวอย่าง:
- Rf = 2%
- ERP = 6%
- Size Premium = 2%
- Specific Risk = 3%
รวมแล้วได้ Required Return = 13%
6. Cost of Debt (Rd)
- ดูได้จากอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้เจ้าหนี้
- คิดหลังภาษี:
Rd × (1 - Tc)
7. ตัวอย่างการคำนวณ WACC
- E = 80%, D = 20%
- Re = 11.6%
- Rd = 5%
- Tc = 20%
WACC = 0.8 × 11.6% + 0.2 × 5% × (1 - 0.2)
= 9.28% + 0.8% = 10.08%
8. เทคนิคการเลือก Discount Rate ที่เหมาะสม
- อย่าเลือก Discount Rate ที่ต่ำเกินไปเพราะอาจได้ราคาหุ้นสูงเวอร์
- ใช้ Historical Data + ค่าเฉลี่ยตลาด
- เทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- ทำ Sensitivity Analysis โดยเปลี่ยนค่าระหว่าง 8%-12%
9. ตารางช่วยเลือก Discount Rate
ความเสี่ยงของกิจการ | Range ของ Discount Rate |
---|---|
ธุรกิจใหญ่มั่นคง (เช่น Utility) | 6% - 8% |
ธุรกิจทั่วไปในตลาด (เช่น Consumer) | 8% - 10% |
Tech / ธุรกิจเติบโตสูง | 10% - 15% |
Startup / ธุรกิจขาดทุน | 15% - 25% |
Discount Rate คือหัวใจของการประเมินมูลค่าด้วย DCF นักวิเคราะห์ควรใช้วิธีเชิงวิเคราะห์ทั้ง CAPM, Build-up และเทียบเคียง เพื่อให้ได้ค่าที่ "ไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป" และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้
Sensitivity Analysis และ Monte Carlo Simulation
การวิเคราะห์มูลค่าหุ้นด้วย DCF ไม่ควรจบแค่การกรอกสมมุติฐานครั้งเดียวแล้วเชื่อผลลัพธ์ทันที เพราะในความเป็นจริง ปัจจัยต่าง ๆ เช่น Revenue Growth, Margin, และ Discount Rate สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ความเปราะบางของโมเดล และประมาณความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
1. Sensitivity Analysis คืออะไร?
การวิเคราะห์ Sensitivity คือการดูว่าผลลัพธ์สุดท้าย (เช่น Intrinsic Value) จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้าค่าใดค่าหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป เช่น เปลี่ยน Discount Rate จาก 8% เป็น 9%, หรือปรับ Growth Rate จาก 5% เป็น 7%
ตัวอย่างตัวแปรที่ควรทดสอบ:
- Discount Rate
- Terminal Growth Rate
- Revenue Growth Rate
- EBIT Margin
ตัวอย่างตาราง Sensitivity (Discount Rate vs Terminal Growth)
Discount Rate \ Terminal Growth | 1% | 2% | 3% | 4% |
---|---|---|---|---|
8% | 145 บาท | 155 บาท | 168 บาท | 180 บาท |
9% | 135 บาท | 144 บาท | 152 บาท | 162 บาท |
10% | 125 บาท | 132 บาท | 140 บาท | 150 บาท |
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า การเปลี่ยน Discount Rate และ Terminal Growth เพียงเล็กน้อย ส่งผลต่อมูลค่าหุ้นที่ได้ทันที
2. การทำ Monte Carlo Simulation
Monte Carlo คือการจำลองสถานการณ์หลายพันครั้งโดยใช้ความน่าจะเป็นแบบสุ่มในตัวแปรสำคัญ เพื่อดูว่า “มูลค่าที่แท้จริง” มีโอกาสกระจายอยู่ในช่วงไหน
ขั้นตอน:
- กำหนด distribution ของตัวแปร เช่น Growth Rate (Normal หรือ Triangular), Discount Rate (Fixed หรือ Uniform)
- รันการจำลอง DCF ซ้ำ 1,000 - 10,000 ครั้ง
- นำค่าที่ได้มา Plot เป็น Histogram
ตัวอย่างกราฟ Histogram จาก Monte Carlo
ผลลัพธ์เช่นนี้จะทำให้เรามองเห็น Distribution ของมูลค่า ไม่ใช่แค่ตัวเลขเดียว
3. ความสำคัญในการตัดสินใจ
- ถ้า DCF ออกมาว่าหุ้นมี Value = 100 บาท แต่มีโอกาสสูงถึง 40% ที่ค่าจะต่ำกว่า 80 บาท = ความเสี่ยงสูง
- การใช้ Monte Carlo + Sensitivity ร่วมกัน ช่วยให้มั่นใจมากขึ้นว่าค่าที่ได้ "สมเหตุสมผล"
4. เครื่องมือที่สามารถใช้ได้ฟรี:
- Excel/Google Sheets: ใช้ฟังก์ชัน RAND(), NORMINV() ทำ Monte Carlo Simulation ได้
- Python: ใช้ NumPy และ Matplotlib ทำ Simulation และกราฟ
- เว็บ Tools: เช่น Finbox, ValueInvesting.io, และ DCF Calculator
การวิเคราะห์ DCF จะสมบูรณ์ขึ้นเมื่อมีการตรวจสอบความเสี่ยง (Sensitivity Analysis) และความน่าจะเป็น (Monte Carlo Simulation) นักลงทุนควรใช้เพื่อประเมิน Range ของมูลค่าและวัด Margin of Safety ได้อย่างมีเหตุผล
กรณีศึกษา: DCF ของ Apple และ Tesla
ในหัวข้อนี้ เราจะวิเคราะห์ตัวอย่างการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow) สำหรับสองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้แก่ Apple Inc. (AAPL) และ Tesla Inc. (TSLA) ซึ่งมีลักษณะธุรกิจ สภาพคล่อง และการเติบโตที่แตกต่างกัน ทำให้การวิเคราะห์ DCF มีความท้าทายและน่าสนใจยิ่งขึ้น
1. Apple Inc. – ธุรกิจที่เติบโตแบบมั่นคง
- รายได้: เติบโตต่อเนื่องจาก iPhone, iPad, Mac, และบริการ
- กระแสเงินสดอิสระ (FCF): สม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ความเสี่ยง: ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีอื่น
สมมุติฐานหลัก:
- FCF ปีล่าสุด: $100,000 ล้าน
- อัตราการเติบโตเฉลี่ย: 5% ต่อปี (5 ปี)
- Discount Rate (WACC): 8%
- Terminal Growth Rate: 2%
การคำนวณ:
DCF = FCF₁/(1+r)¹ + FCF₂/(1+r)² + ... + FCF₅/(1+r)⁵ + TV/(1+r)⁵ FCF₁ = 100,000 × (1+0.05) = 105,000 FCF₂ = 110,250 ... FCF₅ = ~127,628 Terminal Value = FCF₆ / (r - g) = 127,628 × (1+0.02) / (0.08 - 0.02) = 130,181 / 0.06 ≈ 2,169,683 ล้านเหรียญ
รวมมูลค่าทั้งหมดและ Discount กลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน จะได้มูลค่าที่เหมาะสมของ Apple โดยประมาณ $2.1 ล้านล้านเหรียญ เทียบกับราคาตลาด ทำให้ทราบว่าราคาหุ้นแพงหรือถูก
2. Tesla Inc. – ธุรกิจที่เติบโตเร็วแต่มีความผันผวน
- รายได้: เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดรถยนต์ EV และเทคโนโลยี
- FCF: ผันผวนตามรอบธุรกิจ
- ความเสี่ยง: สูงกว่า Apple อย่างมีนัยยะสำคัญ
สมมุติฐานหลัก:
- FCF ปีล่าสุด: $8,000 ล้าน
- อัตราการเติบโต: 25% (3 ปีแรก), 10% (อีก 2 ปีถัดไป)
- Discount Rate (WACC): 10%
- Terminal Growth Rate: 3%
การคำนวณ:
ปี 1: 8,000 × 1.25 = 10,000 ปี 2: 12,500 ปี 3: 15,625 ปี 4: 17,188 (10%) ปี 5: 18,906 Terminal Value = 18,906 × 1.03 / (0.10 - 0.03) ≈ 278,486
รวม Discounted Cash Flow จะได้มูลค่าของ Tesla โดยประมาณ ~$230,000 ล้าน ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาตลาดจะช่วยตัดสินใจได้ว่า “แพงไปหรือยัง?”
ข้อสังเกตจากกรณีศึกษา
- Apple ใช้การเติบโตอย่างมั่นคง – DCF ทำงานได้ดี
- Tesla มีความผันผวนสูง – DCF ต้องระวังเรื่องสมมุติฐาน
- ความแม่นยำของ DCF ขึ้นอยู่กับความสมเหตุสมผลของตัวแปร เช่น FCF, WACC, และ Terminal Growth Rate
Apple vs Tesla DCF Summary
Apple Inc. (AAPL)
- FCF ล่าสุด: $100B
- Growth: 5%
- WACC: 8%
- มูลค่ากิจการ: ~$2.1T
Tesla Inc. (TSLA)
- FCF ล่าสุด: $8B
- Growth: 25% → 10%
- WACC: 10%
- มูลค่ากิจการ: ~$230B
ศัพท์เฉพาะ DCF และคำแปล
เพื่อให้เข้าใจโมเดล DCF อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องเข้าใจคำศัพท์ทางการเงินที่ใช้บ่อยในกระบวนการประเมินมูลค่า:
- DCF (Discounted Cash Flow): วิธีประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยใช้กระแสเงินสดในอนาคตมาคำนวณย้อนกลับเป็นมูลค่าในปัจจุบัน
- FCF (Free Cash Flow): กระแสเงินสดที่เหลือจากการดำเนินธุรกิจหลังจากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและทุนหมุนเวียน
- WACC (Weighted Average Cost of Capital): ต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุนจากหุ้นและหนี้สิน ใช้เป็น Discount Rate ในการคำนวณ DCF
- Terminal Value (TV): มูลค่ารวมของกระแสเงินสดหลังจากสิ้นสุดช่วงที่คาดการณ์ เป็นส่วนสำคัญในการคำนวณมูลค่ารวม
- Growth Rate (g): อัตราการเติบโตของ FCF ในอนาคต
- Discount Rate (r): อัตราที่ใช้ในการ Discount กระแสเงินสดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน
- CAPEX (Capital Expenditure): เงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
- Net Working Capital (NWC): สินทรัพย์หมุนเวียนลบด้วยหนี้สินหมุนเวียน เป็นตัวชี้วัดการใช้เงินทุนในการดำเนินงาน
- Sensitivity Analysis: การวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงตัวแปร เช่น WACC หรือ Growth Rate
- Monte Carlo Simulation: เทคนิควิเคราะห์ความไม่แน่นอนด้วยการสุ่มข้อมูลหลายพันครั้งเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
Checklist สำหรับนักลงทุน
ก่อนที่คุณจะนำ DCF Model ไปประเมินมูลค่าหุ้น ขอแนะนำให้ตรวจสอบปัจจัยต่างๆ ใน Checklist นี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงจากการใช้สมมุติฐานที่ไม่สมเหตุสมผล:
- ✅ ได้ใช้ FCF ที่สม่ำเสมอและมีประวัติย้อนหลังที่ชัดเจน
- ✅ ประเมิน Growth Rate จากทั้งอดีตและอนาคต ไม่ใช้ตัวเลขเวอร์เกินจริง
- ✅ เลือก WACC โดยพิจารณาค่า Beta, ต้นทุนหนี้, และโครงสร้างทุนที่เป็นจริง
- ✅ ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของ Terminal Growth Rate (ควร < 5%)
- ✅ ใช้ Sensitivity Analysis เพื่อทดสอบผลกระทบของการเปลี่ยนสมมุติฐาน
- ✅ เปรียบเทียบผลลัพธ์กับราคาตลาดและการประเมินจากนักวิเคราะห์
- ✅ มี Margin of Safety อย่างน้อย 20–30% ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ✅ ไม่ใช้ DCF กับบริษัทที่มี FCF ติดลบหรือผันผวนหนัก
- ✅ เข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัท ไม่ใช้แค่ตัวเลขจากงบการเงิน
- ✅ บันทึกสมมุติฐานทั้งหมดเพื่ออัปเดตเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
Infographic: DCF Checklist
📌 สิ่งที่ควรทำ
- วิเคราะห์ FCF อย่างรอบคอบ
- เลือก Discount Rate อย่างมีเหตุผล
- ใช้ Margin of Safety
- อัปเดตสมมุติฐานเมื่อมีข่าวสารใหม่
🚫 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- สมมุติให้หุ้นโต 20% ต่อเนื่อง 10 ปี
- ใช้ Terminal Growth Rate สูงกว่า GDP
- ใช้ข้อมูลที่ไม่เข้าใจ
- ไม่ปรับ WACC ให้เหมาะกับธุรกิจ
สรุป
การประเมินมูลค่าหุ้นด้วย DCF ต้องใช้ข้อมูลจริง ความรู้เฉพาะ และการวิเคราะห์รอบด้าน หากใช้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น หากข้อมูลในบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใด สามารถแสดงความคิดเห็น และต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
คลิกใช้งานโปรแกรมคำนวณ DCF